รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ปีใหม่ Osaka-Nagano-Tokyo กับความ “เกือบ” เป็นผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

ถึงผมจะไม่ได้มาญี่ปุ่นนี้ครั้งแรก (น่าจะครั้งที่ 5 ได้แล้วครับ) แต่ทริปนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ได้มาเที่ยวกัน “ข้ามปี” แบบนี้ แถมแจคพอต ”เกือบ” ได้เป็นผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวอีกต่างหาก

ทริปนี้ผมได้มีสอนวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานีรถไฟ Shinkansen ในญี่ปุ่นไว้ด้วย สำหรับผู้สนใจสายงาน Data ไปตามลิ้ง ไปเรียนกันได้เลยคร้าบ

วิเคราะห์ Data ง่ายๆ ใน 3 คลิ๊ก ด้วย Pivot Table (Google Sheet)

เดิมทีผมและภรรยาก็ไม่ได้วางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศช่วงวันสิ้นปีด้วยคิดมาตลอดว่าตั๋วมันจะต้องแพงมากแน่ๆช่วงที่คนหยุดยาวกันอีกทั้งมันก็ใกล้วันเดินทางมากๆแล้ว แต่ด้วยความที่เข้ามาดูเล่นๆก็ได้พบว่า อืมม…มันก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิดนะก็เลยตัดสินใจจองไป และเป็นการตัดริบบิ้นทริปญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ 555+

ไป countdown ในญี่ปุ่นที่ไหนดี ?

ภาพในหัวหลังจากจองตั๋วกันเรียบร้อยแล้วคืออยากไปงาน countdown ที่ญี่ปุ่นดูว่าที่นั่นจัดกิจกรรมแบบไหนกันนะ พอเทียบกับไทยเราแล้วเวลาหาที่ไป countdown มันจะมีที่ให้เลือกไปเยอะมาก หลักๆเลยก็ห้าง ร้านอาหาร ผับ บาร์ หรือ แลนด์มาร์คสำคัญๆ มันจะมีกิจกรรม กับจุดพลุกันทุกปี

รู้ไหม พอมาไล่หาในเน็ตนี่คือ “หาไม่ได้เลย”

คือมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย แต่ที่ๆเขามีจัดงานจริงจังมันก็จะมีที่ Universal แต่ละที่ซึ่งบัตรร่วมมันก็ขายหมดกันตั้งนานแล้ว พอมาหาข้อมูล+ถามเพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นก็เลยรู้ว่า วันสิ้นปีกับวันขึ้นปีใหม่ส่วนใหญ่เขาจะไปสวดมนต์ขอพรที่วัด และใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ดังนั้นความท้าทายของนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราอีกอย่างนั่นก็คืออออ…. ร้านอาหารหรือร้านค้าบางร้านเขาจะปิดกันช่วงนี้กันครับ ที่พึ่งของพวกเราจึงมาอยู่ที่ ”ร้านสะดวกซื้อ” ที่ยังเปิดให้บริการตลอด

หลังจากหาข้อมูลแล้วเราจึงสรุปว่าเราจะไปร่วมงานสวดมนต์ขอพรที่วัด Kitamido กับไปดูงานไฟที่ปราสาท Osaka กันครับ

การเดินทางมาวัด Kitamido ให้นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Honmachi แล้วก็เดินประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอวัด

ต้นไม้ประดับไฟระหว่างเดินไปวัด Kitamido

ที่วัดนี้จะมีกิจกรรมให้เราเขียนคำอวยพรลงกระดาษแล้วเจ้าหน้าที่จะเอาไปใส่ในกระบอกไฟเล็กๆ พร้อมกับวางเรียงบนบันไดที่หน้าวัดให้

พนักงานเตรียมอุปกรณ์เขียนขอพรไว้พร้อมบนโต๊ะเลย
ลานหน้าวัดที่วางกระบอกไฟขอพร

จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเชิญเรามานั่งฟังการสวดมนต์ข้ามปีในห้อง hall ของวันนี้ ซึ่งตามกำหนดการที่เขียนไว้ในตั๋ว เราจะสามารถไปสั่นระฆังเพื่อขอพรหลังการ countdown ได้ด้วย แต่ที่น่าเสียดายคือว่าพวกเราต้องกลับก่อนที่จะได้สั่นระฆังเพราะเช็คดูแล้วว่าช่วงเวลานั้นจะไม่มีรถไฟกลับไปที่ที่พัก แล้วก็ค่า taxi ของที่ญี่ปุ่นราคาก็แรงใช้ได้ ดังนั้นถ้าใครจะมาร่วมงานสิ้นปีของที่ญี่ปุ่นเราแนะนำว่าให้เช่ารถไว้ก็จะไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

บรรยากาศการสวดมนต์ในวัด
ตั๋วขึ้นไปสั่นระฆังขอพร

ไหว้พระขอพรคนจะเยอะมั๊ย ?

ผมขอเอารูปบรรยากาศการไปขอพรที่ศาลเจ้า Kifune ให้เพื่อนๆไปพิจารณากันเอาเองนะครับ 555+

ขึ้นมาแล้วต้องเดินลงไปอีกฝั่งเพื่อที่จะต่อแถวกลับขึ้นมาไหวศาลเจ้า
ปลายแถวก่อนขึ้นศาลเจ้า

คือตอนที่เดินขึ้นบันไดไปศาลเจ้าก็เจอคนประมาณหนึ่ง แต่พอขึ้นมาถึงบนศาลเจ้าเท่านั้นแหละคิวนี่ยาวผ่านบันไดทางขึ้นด้านหลังลงไปยันถนน แล้วบนถนนก็ยาวออกไปหลายสิบเมตร แต่พอลงยืนต่อสักแปบและดูการเคลื่อนตัวของฝูงชนแล้ว จึงตัดสินว่า “ไปดีกว่า” เพราะเรามีหลายที่ต้องไปแล้วดูท่าทางน่ารออีกเป็นชั่วโมง

นี่เป็นแค่ตัวอย่างจากวัดเดียวนะครับซึ่งก็เชื่อว่าวัดดังๆที่อื่นก็คงไม่ต่างกัน ดังนั้นเพื่อนๆคนไหนถ้าจะมาแล้ว แนะนำให้ “มาแต่เช้าตรู่” จะดีกว่าครับบ

ใกล้ๆศาลเจ้า Kifune จะมีศาลเจ้า Kurama ที่นั่งรถไฟแค่ 5-10 นาทีก็ถึงเลย ที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะมากเลยได้รูปสวยๆมาหลายมุมเลย

บันไดเดินขึ้นศาลเจ้า Kurama
บันไดหน้าศาลเจ้า Kurama
รูปปั้นเท็นงุที่ศาลเจ้า Kurama
Kurama Station

ประสบการณ์ (เกือบ) เป็นผู้ประสบภัย

เหตุเกิดระหว่างทางที่เรากำลังนั่งรถไปจาก Osaka ไป Nagano ครับ ในช่วงปีใหม่นี้ที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวที่แถบ Isshikawa, Toyama และ Niigata (ติดชายฝั่งทะเลด้านบนของ Kyoto, Nagoya) ซึ่งรถไฟที่เรานั่งมาต้องมาแวะต่อรถไฟ Shinkansen ที่สถานี Kanazawa และสถานีนี้อยู่ในโซนของ Toyama พอดี

เพื่อให้เห็นภาพผมเลยไฮไลท์ไว้คร่าวๆตามรูปด้านล่างครับ

แสดงแถบที่เกิดแผ่นดินไหว

เมื่อมาถึงสถานี Kanazawa แล้ว พอออกไปซื้อเสบียงมาไว้กินบนรถไฟก็ได้รู้สึกถึงความเป็นผู้ประสบภัยแบบกลาย กลาย ในขณะที่ยืนมอง shelf สินค้าที่ว่างเปล่าทั้งเซเว่น และ Lawson สิ่งที่พอยังมีขายอยู่บ้างก็คือน้ำดืม และขนมถุงนิดหน่อย ว่าแล้วก็รีบซื้อแล้วรีบกลับไปรอขึ้นรถไฟเผื่อมี after shock เกิดขึ้น

ภายในร้านสะดวกซื้อที่สถานี Kanazawa
ภายในร้านสะดวกซื้อที่สถานี Kanazawa
ภายในร้านสะดวกซื้อที่สถานี Kanazawa
ภายในร้านสะดวกซื้อที่สถานี Kanazawa

สุดท้ายเราทั้งคู่ก็กลับมาขึ้น Shinkansen มาที่ Nagano ได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่อยากจะฝากเพื่อนๆ ก็คือหากใครมาเที่ยวแล้วเจอสถานการณ์แบบนี้ให้ตั้งสติ และศึกษาการปฏิบัติตัวเอาไว้บ้างหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพื่อเตรียมตัวไว้อย่างที่คนญี่ปุ่นจะสอนเด็กๆกันว่าเวลาแผ่นดินไหวให้หลบเข้าไปใต้โต๊ะเลี่ยงการโดนของตกใส่ อะไรประมาณนี้ครับ

มาช่วงนี้มีหิมะไหม?

ปีใหม่ของปีนี้ถ้าจะมาหาหิมะที่แถบ Tokyo-Kyoto จะต้องขึ้นไปตามลานสกี หรือภูเขาหน่อยครับ ไม่เหมือนกับแถบ Sapporo ของ Hokkaido ที่อยู่เส้นศูนย์สูตรที่สูงกว่าจึงมีหิมะให้เห็นมากกว่า

ทริปนี้ของพวกเรานั้นไปเที่ยวหิมะที่ Hakuba และ Snow Monkey Park ครับ

(ถ้าใครมาเที่ยวแถบนี้ผมแนะนำ Alpine route ด้วยนะครับ พวกเราไม่ได้ไปเพราะปิดเส้นทางช่วง 30 November – 15 April เนื่องจากสภาพอากาศไม่สามารถขึ้นไปเที่ยวได้)

หิมะที่ Hakuba

ระเบียงชมวิวร้านกาแฟ The City Bakery

การเดินทางมา Hakiba เราสามารถจองรถ Bus นั่งจาก Nagano มาที่นี่ได้เลย (กรณีที่รถไม่ได้จอดให้ลงที่ station ของลานสกีที่เราจะไป เราสามารถนั่งรถ bus local แถวนั้นจากสถานีรถไฟ Hakuba ไปได้ครับ) โดยมาขึ้นรถ bus ที่ bus stop no.26 ที่ Nagano station ตามเวลาที่ระบุไว้ตามรูปด้านล่างครับ

ตารางเดินรถ Bus จาก Nagano ไป Hakuba

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nagano-Hakuba Bus

วิวบนรถบัสระหว่างนั่งไป Hakuba

Hakuba นี้จะเป็นโซนที่นักท่องเที่ยวจะมาเล่น สกีกันโดยมีลานสกีอยู่หลายโซน ซึ่ง cable car ที่ขึ้นก็จะมี station แยกไปตามลานนั้นๆด้วย เพื่อนที่จะมาแนะนำให้ศึกษาให้ดีก่อนนะครับ

ทริปนี้เราเน้นมาถ่ายรูปจึงมาตามรีวิวที่ลานสกี Hakuba Iwatake ครับ

แผนผังลานสกีใน Hakuba

ลิ้งตามนี้เลย https://www.alpico.co.jp/th/guide/hakuba/

ด้านบนลานสกี Hakuba Iwatake
ข้างสถานีกระเช้าลำเลียงพานักเล่นสกีกลับขึ้นมา

ข้างบนลานสกี Hakuba Iwatake นี้จะมีร้านกาแฟชื่อ The City Bakery ที่มีจุดเด่นคือระเบียงนั่งจิบกาแฟขบขนมปังชมวิว เทือกเขา Japan Alp ไปด้วยได้ พวกเรานั่งกันอยู่พักใหญ่เลยครับร้านนี้

ทางเข้าหน้าร้าน The City Bakery
ระเบียงนั่งชมวิวร้าน The City Bakery
นั่งจิบกาแฟชม Japan Alp ที่ร้าน The City Bakery

สำหรับคนที่กะจะขึ้นมาเล่นสกีบนนี้ทั้งวันก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของกินนะครับ เพราะข้างบนนี้มีร้าน Cafe&Restaurant Skyark ที่ขายเครื่องดื่มและอาหารคาว และสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นร้อยอยู่นะ

หิมะที่ Snow Monkey Park

ที่นี่เป็นอีกที่นึงที่มีหิมะตกในช่วงนี้ด้วย (ตกกันแบบจุกๆไปเลย 555+)

พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถ Nagaden Bus จาก Nagano Station แต่ครั้งนี้เราต้องไปซื้อบัตรเข้าชมลิงหิมะ พร้อมตั๋วรถให้เรียบร้อยก่อนครับ

สามารถตามรายละเอียดในลิ้งนี้สำหรับเดินหา Nagaden Ticket Window ได้เลย https://www.snowmonkeyresorts.com/access/snow-monkey-2-day-pass/

หน้าตาจุดขาย Snow Monkey Pass (Ticket Window) ตามในรูปนี้เลยครับ

จุดขาย Snow Monkey Pass

จุดขึ้นรถบัส Nagaden จะอยู่ที่ Bus Stop No. 23-24 มาถึงแล้วยืนต่อแถวรอเรียกขึ้นรถได้เลย

Bus Stop ขึ้น Nagaden Bus

เมื่อนั่งรถบัสมาถึงที่นี่แล้วจะเจอประตูทางเข้าที่ต้องเดิน 1.6 กิโลเมตร หรือประมาณ 25 นาที เพื่อเข้าไปที่จุดขายตั๋วเข้าชม

ประตูทางเข้าจากนี่ต้องเดิน 1.6 กิโลเมตร

หากเราซื้อ Snow Monkey Pass แล้วเราไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าชมที่ประตูทางเข้าของ Snow Monkey Park อีกให้ไปตามช่องของคนที่มี Pass ได้เลย

ประตูทางขึ้น Snow Monkey Park

ระหว่างทางที่เดินเข้าไปจะมีหิมะตกลงมาเยอะมากใครมาเที่ยวที่นี่ก็เตรียมอุปกรณ์มาให้พร้อมนะครับ ภาพด้านล่างเป็นภาพหิมะตกระหว่างเที่ยว Snow Monkey Park

ด้านในสุดจะเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีกลุ่มน้องลิงลงไปแช่น้ำให้เราได้ชม ดูแล้วลิงพวกนี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับคนอยู่เพราะขนาดบ่อน้ำร้อนในเรียวกังน้องๆยังลงมาแช่กับนักท่องเที่ยวเลย

จุดชมลิงแช่น้ำร้อนกลางหิมะ

จุดชมลิงแช่น้ำร้อนกลางหิมะ

ใกล้ๆกับที่เราลงรถ Bus จะมีศาลเจ้าอยู่ที่นึงที่ไม่ได้มีใครรีวิวไว้ ที่นี่พอถ่ายรูปกับประตูแดงที่มีพื้นหลังเป็นหิมะสีขาวนับว่าสวยเลยทีเดียว ใครมาที่นี่ลองไปตามกันดูนะครับ (ศาลเจ้านี้ในแมพเจอแต่ชื่อภาษาญี่ปุ่น 上林不動尊)

หลังจากเที่ยวหิมะที่ Nagano แล้วพวกเราก็นั่ง Shinkansen มาลงที่ สถานีUeno ใน Tokyo พร้อมกับ check-in ห้องพักที่ MYSTAYS Ueno East hotel ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีไปประมาณ 500 เมตร

ใส่ชุด กิโมโน(Kimono) เดินวัด Sensoji ที่ Tokyo

อีกเป้าหมายนึงในการมาญี่ปุ่นครั้งนี้ของพวกเราคือการได้ใส่ชุด “กิโมโน” ไปถ่ายรูปกันครับ

ร้านที่พวกเราเลือกเช่าชุดมีชื่อว่า Wargo Kimono Rental สาขา Asakusa เนื่องจากชอบธีมชุดร้านนี้ และยังอยู่ใกล้วัด Sensoji (คือเปลี่ยนชุดแล้วเดินไปวัดได้เลย)

เราสามารถจองเช่าชุดได้ที่หน้าเว็บของ Wargo Kimono ได้เลย Wargo Kimono

ให้เราเลือก plan ชุดที่เราจะเช่าครับ ซึ่งแต่ละอันจะมีราคาและลักษณะชุดที่แตกต่างกัน โดยทุกแบบนี้จะเป็นแบบ “เช่าเหมาทั้งวัน” เราจะมารับกี่โมงก็ได้แต่จะต้องคืนก่อน 18.00 น

อีกช่องทางในการจองคือ message ไปทาง IG ชื่อ wargo_kimono ครับ พวกเราเลือกจองด้วยวิธีนี้เนื่องจากในหน้าเว็บมีบางหน้าเป็นภาษาญี่ปุ่นซุ่งแปลออกมาแล้วยังงงๆนิดหน่อย เลยพิมพ์คุยแบบนี้ดีกว่า เพราะเราสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วย

หน้าร้านสาขา Asakusa จะอยู่ชั้น4 ในตึก Tokyo Rakutenchi Asakusa Building (หาใน google map ได้เลย)

ที่ชอบอีกอย่างของร้านนี้คือพนักงานเขาคุยภาษาอังกฤษกับเราได้ แล้วก็เป็นกันเองกับลูกค้าด้วยครับ

เมื่อแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้วทางร้านจะให้เราฝากสัมภาระไว้ที่ร้านพร้อมกับให้บัตรฝากของมาด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปเดินถ่ายรูปในวัด Sensoji ตามรูปด้านล่างเลยครับ

เมื่อเที่ยวโตเกียวเสร็จแล้วเราก็นั่ง Shinkansen และต่อรถไฟ กลับมาที่ Osaka เพื่อไปขึ้นเครื่องกลับไทยพร้อมกับเป็นการปิดทริปสิ้นปีไปด้วยเลย

เพื่อนคนไหนกำลังวางแผนหรือหาข้อมูลมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ ก็หวังว่ารีวิวนี้จะช่วงในการตัดสินใจ และวางแผนนะครับ

สำหรับคนที่มีความสนใจด้าน Data ก็สามารถติดตามได้ที่เว็บเพจ DataTrippu เลยครับ (Data + Trip จบในเว็บเดียว 555+)

https://datatrippu.com/

สุดท้ายนี้ไม่ว่าการเดินทางไหนย่อมมีจุดสิ้นสุด ดั่งที่ Tony Stark ได้กล่าวไว้ใน Avenger Endgame

“Part of the journey is The End”

ไว้เจอกันใหม่ในทริปหน้าครับบบ🫡